ธรรมนัส รับ เงินเดือน ส.ส. 1.2 แสน ไม่พอใช้ พร้อมแจงรายได้ขายสลาก 3 ล้าน ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เพียงแต่ที่ยื่นกับ ป.ป.ช. เพราะต้องสำแดงเท่านั้น ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่ายังมีรายได้อยู่
![อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล]( "อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล")
ภาพจาก สำนักข่าว INN
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 สำนักข่าว INN รายงานว่า นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย ได้ลุกขึ้นอภิปราย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าการบริหารราชการแผ่นดิน สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและประเทศชาติอย่างร้ายแรง ประชาชนกว่า 40 ล้านคนยากจน และในการลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐ พล.อ. ประยุทธ์ ยังได้ลงหาเสียงทั้งที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค เข้าข่ายครอบงำพรรคการเมือง ใช้อำนาจในการผลิตสื่อที่เสนอข่าวตรงไปตรงมาหลายสำนัก ก่อนจะพยายามครอบงำสื่อเป็นเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง โดยการส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ จนทำให้ประชาชนไม่ทราบว่าเรื่องใดเป็นข้อมูลจริงบ้าง
นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังใช้อำนาจแต่งตั้ง ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ โดยในเอกสารการแต่งตั้งได้ระบุชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แต่จากการตรวจค้นข้อมูลพบว่า เมื่อปี 2539 มีการถอดยศ ร.ท. พัชร พรหมเผ่า ก่อนจะกลับเข้ามารับราชการอีกครั้งโดยไม่มีการเพิ่มยศ
อีกทั้ง ร.อ. ธรรมนัส แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ว่ายังมีรายได้จากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเดือนละ 3 ล้านบาท ทั้งที่ไม่มีโควตาในการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้ว ตั้งแต่ปี 2557 หลังจาก คสช. เข้ามายึดอำนาจและปฏิรูป 5 เสือกองสลาก เพื่อแก้ไขปัญหาสลากราคาแพง และให้จองที่ในธนาคารกรุงไทย จึงถือว่าเป็นการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
ด้าน ร.อ. ธรรมนัส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณียศทหารของตนเองว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2541 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดยศ ร.ท. พัชร เนื่องจากประพฤติผิดวินัยร้ายแรง และในปีเดียวกันมีหนังสือจากกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการเลื่อนยศทหารชั้นสัญญาบัตร ตนได้รับการเลื่อนยศเป็นว่าที่ ร.อ. พัชร ที่ทำให้เกิดความสับสน เกิดจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีห่างกันเพียงไม่กี่เดือน ยืนยันว่าตนไม่ได้มีเจตนาจะแอบอ้างยศถาบรรดาศักดิ์ในการทำมาหากิน เพราะในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ยังใช้คำว่า นายธรรมนัส พรหมเผ่า กระทั่งมีการโปรดเกล้าฯ ให้ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จนทราบว่าตนยังมียศอยู่
ส่วนกรณีการซื้อ-ขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ตนได้รับสัมปทานในฐานะเป็นคู่สัญญากับกองสลากครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2558 โดยประธานบอร์ดกองสลาก มีนโยบายว่า สลากการกุศลหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล จะต้องถูกจำหน่ายผ่านธนาคารกรุงไทย หรือผ่านองค์กรการกุศล ในจำนวนที่เป็นไปตามข้อบังคับของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 เป็นวันสุดท้ายที่ตนอยู่ในฐานะคู่สัญญากับกองสลาก จึงยืนยันว่าขณะนี้ตนไม่ได้มีสัมปทานและเป็นคู่สัญญากับกองสลากแม้แต่เล่มเดียว แต่ต้องสำแดงทรัพย์สินและสำแดงรายได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล เดือนละ 3 ล้านบาท จึงขอชี้แจง เพราะผู้อธิบายอาจเข้าใจผิดว่าตนยังมีรายได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า รายได้จากการทำธุรกิจในส่วนของสลากกินแบ่งรัฐบาลคือรายได้จากการเช่าแผงค้าสลากข้างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเป็นการเช่าต่อจากเจ้าของตลาด โดยมีแผงค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลเกือบ 10 แผง เนื่องจากมีความจำเป็นที่ต้องหล่อเลี้ยงลูกค้าที่ทำทุกอย่างร่วมกันมาเกือบ 10 ปี เพราะลูกค้าเหล่านั้นได้รับสลากของตนไปขายในแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอทั่วประเทศ จึงจำเป็นที่จะต้องประคองชีวิตของพ่อค้าผู้มีอาชีพเหล่านั้นให้ยังมีอาชีพต่อไป ถึงแม้รายได้ที่เคยได้รับจะลดน้อยลง แต่ก็สามารถที่จะทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอด
พร้อมยังระบุว่า การทำอาชีพนี้ถือเป็นอาชีพสุจริต ถึงแม้จะดำรงตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรี หรือ ส.ส. ก็ตาม ซึ่งการเป็นรัฐมนตรีก็ถือว่าสาหัสพออยู่แล้ว แต่การเป็น ส.ส. โดยเฉพาะผู้แทนตลาดล่าง เงินเดือนแต่ละเดือนที่ได้รับจากรัฐบาลประมาณ 120,000 บาท จึงอยากถามว่า งานแต่ละงานในฐานะเป็น ส.ส. เลี้ยงตัวเองอยู่ได้หรือไม่ โดยยกตัวอย่าง นายจีรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา ที่ต้องดูแลพื้นที่จังหวัดพะเยาในหลายอำเภอ หลายหมู่บ้าน ที่เดินออกจากบ้านก็ต้องเสียเงินแล้ว เงินเดือนจึงไม่เพียงพอ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล ต่างต้องทำมาหากิน จึงอยากชี้แจงผู้อภิปราย ทั้งในประเด็นคำนำหน้าของตนเอง หรือประเด็นการค้าขายสลากกินแบ่งรัฐบาล
ภาพจาก สำนักข่าว INN
นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังใช้อำนาจแต่งตั้ง ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ โดยในเอกสารการแต่งตั้งได้ระบุชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แต่จากการตรวจค้นข้อมูลพบว่า เมื่อปี 2539 มีการถอดยศ ร.ท. พัชร พรหมเผ่า ก่อนจะกลับเข้ามารับราชการอีกครั้งโดยไม่มีการเพิ่มยศ
อีกทั้ง ร.อ. ธรรมนัส แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ว่ายังมีรายได้จากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเดือนละ 3 ล้านบาท ทั้งที่ไม่มีโควตาในการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้ว ตั้งแต่ปี 2557 หลังจาก คสช. เข้ามายึดอำนาจและปฏิรูป 5 เสือกองสลาก เพื่อแก้ไขปัญหาสลากราคาแพง และให้จองที่ในธนาคารกรุงไทย จึงถือว่าเป็นการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
ส่วนกรณีการซื้อ-ขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ตนได้รับสัมปทานในฐานะเป็นคู่สัญญากับกองสลากครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2558 โดยประธานบอร์ดกองสลาก มีนโยบายว่า สลากการกุศลหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล จะต้องถูกจำหน่ายผ่านธนาคารกรุงไทย หรือผ่านองค์กรการกุศล ในจำนวนที่เป็นไปตามข้อบังคับของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 เป็นวันสุดท้ายที่ตนอยู่ในฐานะคู่สัญญากับกองสลาก จึงยืนยันว่าขณะนี้ตนไม่ได้มีสัมปทานและเป็นคู่สัญญากับกองสลากแม้แต่เล่มเดียว แต่ต้องสำแดงทรัพย์สินและสำแดงรายได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล เดือนละ 3 ล้านบาท จึงขอชี้แจง เพราะผู้อธิบายอาจเข้าใจผิดว่าตนยังมีรายได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า รายได้จากการทำธุรกิจในส่วนของสลากกินแบ่งรัฐบาลคือรายได้จากการเช่าแผงค้าสลากข้างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเป็นการเช่าต่อจากเจ้าของตลาด โดยมีแผงค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลเกือบ 10 แผง เนื่องจากมีความจำเป็นที่ต้องหล่อเลี้ยงลูกค้าที่ทำทุกอย่างร่วมกันมาเกือบ 10 ปี เพราะลูกค้าเหล่านั้นได้รับสลากของตนไปขายในแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอทั่วประเทศ จึงจำเป็นที่จะต้องประคองชีวิตของพ่อค้าผู้มีอาชีพเหล่านั้นให้ยังมีอาชีพต่อไป ถึงแม้รายได้ที่เคยได้รับจะลดน้อยลง แต่ก็สามารถที่จะทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอด
พร้อมยังระบุว่า การทำอาชีพนี้ถือเป็นอาชีพสุจริต ถึงแม้จะดำรงตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรี หรือ ส.ส. ก็ตาม ซึ่งการเป็นรัฐมนตรีก็ถือว่าสาหัสพออยู่แล้ว แต่การเป็น ส.ส. โดยเฉพาะผู้แทนตลาดล่าง เงินเดือนแต่ละเดือนที่ได้รับจากรัฐบาลประมาณ 120,000 บาท จึงอยากถามว่า งานแต่ละงานในฐานะเป็น ส.ส. เลี้ยงตัวเองอยู่ได้หรือไม่ โดยยกตัวอย่าง นายจีรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา ที่ต้องดูแลพื้นที่จังหวัดพะเยาในหลายอำเภอ หลายหมู่บ้าน ที่เดินออกจากบ้านก็ต้องเสียเงินแล้ว เงินเดือนจึงไม่เพียงพอ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล ต่างต้องทำมาหากิน จึงอยากชี้แจงผู้อภิปราย ทั้งในประเด็นคำนำหน้าของตนเอง หรือประเด็นการค้าขายสลากกินแบ่งรัฐบาล
ข้อมูลจาก สำนักข่าว INN
